มทส. จับมือ บ. ก้าวหน้า บีฟ จก. ส่งเสริมการวิจัยพัฒนา และสร้างระบบนิเวศการผลิตโคไทยวากิวตลอดห่วงโซ่การผลิต

มทส. จับมือ บ. ก้าวหน้า บีฟ จก. ส่งเสริมการวิจัยพัฒนา
และสร้างระบบนิเวศการผลิตโคไทยวากิวตลอดห่วงโซ่การผลิต
 
วันนี้ (10 มีนาคม 2566) รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) และ นายสมพงษ์  เทพอาษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ก้าวหน้า บีฟ จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านการวิจัยพัฒนาและสร้างระบบนิเวศด้านการผลิตโคไทยวากิวตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อให้เกษตรกรได้รับเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตโคอย่างเหมาะสม ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย ยกระดับห่วงโซ่การผลิตโคไทยวากิวที่มีคุณภาพสูง เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดและยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.หนึ่ง  เตียอำรุง คณบดีสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. พร้อมด้วย ผู้บริหารบริษัท ก้าวหน้า บีฟ จำกัด สมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคไทยวากิว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโคราชวากิว และคณาจารย์ มทส. ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ ห้องประชุมสารนิเทศ อาคารบริหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
 
 
 
 
 

 
 
ศาสตราจารย์ ดร.หนึ่ง  เตียอำรุง คณบดีสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. เผยว่า “ความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มทส. กับ บริษัท ก้าวหน้า บีฟ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจฟาร์มโคเนื้อ การผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพที่มีมาตรฐานการชำแหละ-ตัดแต่ง-บรรจุภัณฑ์ระดับสากล มีความเชี่ยวชาญสูงในการทำตลาดเนื้อโค โดยเฉพาะโคไทยวากิวทั้งค้าปลีกและค้าส่ง ครอบคลุมทุกตลาด ในครั้งนี้ เพื่อนำนวัตกรรมที่ มทส. มีอยู่ ตลอดจนองค์ความรู้ที่จะเกิดจากการทำงานวิจัยร่วมกันไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยร่วมมือวิจัยพัฒนาและสร้างระบบนิเวศด้านการผลิตโคไทยวากิวให้เป็นอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต เกิดเป็น “คลัสเตอร์โคไทยวากิว” รวมทั้งผลักดันการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตเนื้อโคเกรดพรีเมียมที่ มทส. มีองค์ความรู้พร้อมใช้ ได้แก่ การตรวจยีนควบคุมไขมันแทรกและเนื้อนุ่มในพ่อแม่พันธุ์และลูกโคก่อนเข้าขุน การปรับปรุงพันธุ์โคไทยวากิว การผลิตสารชีวภาพเสริมอาหารขุนโคเพื่อทำให้มีไขมันแทรกมากขึ้น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ตัดเกรดเนื้อโควากิว รวมถึงการตรวจโรคและสารปนเปื้อนโค เพื่อออกใบรับรองอาหารปลอดภัยให้กับเนื้อโคผ่านระบบสืบย้อนกลับ ซึ่ง มทส. โดย รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร ได้วิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์โควากิวในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 สามารถผลิตโควากิวที่มีเลือดโควากิว 87.5% มีเกรดไขมันแทรกระหว่าง 3-8 คุณภาพและความอร่อยไม่แพ้เนื้อโควากิวนำเข้า เกษตรกรมีกำไรจากการขุนโคตัวละ 30,000-80,000 บาท โดยมีการวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์และการขุนโควากิว อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดอบรมให้แก่เกษตรกร การขยายการเลี้ยงทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทั่วทุกภาคของประเทศ ได้รับการตั้งชื่อว่าโคพันธุ์โคราชวากิว โคอีสานวากิว และโคไทยวากิว ในปัจจุบัน สามารถสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิต นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2562 มทส. ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 60 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารปฏิบัติการชำแหละและตัดแต่งเนื้อโคมาตรฐาน GMP และฮาลาล เพื่อการส่งออก มีระบบโซลาเซลล์อนุรักษ์พลังงาน รวมถึงคอกขุนโควากิวอัจฉริยะที่มีเครื่องจักรผสมอาหารทีเอ็มอาร์ต้นทุนต่ำ คุณภาพสูง ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น พร้อมระบบสืบย้อนกลับที่รองรับการลงทะเบียนโคได้ 50 ล้านตัว สามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้และอบรมเกษตรกรผู้สนใจ ยกระดับผลิตภัณฑ์เนื้อโควากิวให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากล ลดการนำเข้าเนื้อโคขุนและเพิ่มการส่งออกเนื้อโควากิวที่เป็นเนื้อเกรดพรีเมียมได้ในอนาคต”
 
 
 
 
 
ความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย สามารถเข้าถึงทุกกระบวนการในการผลิตโคไทยวากิว ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการในการทำตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยผู้เชี่ยวชาญการทำ start up ซึ่งมีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงงานวิจัยนร่วมกัน ภายใน 5 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการผลิตโคไทยวากิว เพื่อทำฐานข้อมูลใหญ่ หรือ Big Data อันเป็นหัวใจสำคัญของทุกขั้นตอนการขุนโคไทยวากิวที่สามารถการันตีเกรดไขมันแทรกโคทุกตัว เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในการผลิตโคไทยวากิวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
 
 
 
ส่วนประชาสัมพันธ์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
10 มีนาคม 2566
 
--------------------------------

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง